วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ธรรมะกับการบริโภค

การประมาณการบริโภค

       สถานการณ์โลกในปัจจุบันนี้  โรคอ้วนได้ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิถีการดำรงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคโลกาภิวัตน์ ที่สื่อเข้ามามีบทบาทสำคัญและวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป อีกทั้งยังมีเทคโนโลยีที่พร้อมอำนวยความสะดวก และละเลยการออกกำลังกาย
        โรคอ้วนเป็นปัญหาที่มีผลกระทบทางตรงในเรื่องบุคลิกภาพและภาวะสุขภาพ โดยพบว่ามีสาเหตุที่เอื้อต่อการเกิดหลายด้าน ได้แก่

        ๑) สาเหตุของความอ้วนที่เกิดจากทางพฤติกรรม ซึ่งเกิดจากรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ เปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันเช่น พฤติกรรมในการบริโภค ด้านโภชนาการ การชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันและแคลอรี่สูง ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ
      
  ๒) สาเหตุของความอ้วนที่เกิดจากจิตใจ  เป็นภาวะทางอารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมความอยากอาหาร  การรับประทานอาหารบ่อยครั้ง หรือรับประทานอาหารระหว่างมื้อ นิสัยการกินจุบกินจิบตลอดเวลา ทำให้รับประทานอาหารมากจนเกินความจำเป็น

           ๓) สาเหตุของความอ้วนที่เกิดจากด้านการเคลื่อนไหวของร่างกายในการใช้พลังงาน โดยปกติการใช้พลังงานในร่างกายประกอบด้วย ๓ ทางคือ  พลังงานที่ร่างกายใช้ในการไปในการดำรงชีวิตในการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ พลังงานที่สูญเสียไปกับการเผาผลาญเมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกาย และ พลังงานสำหรับการเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมาก หากมีการใช้พลังงานส่วนนี้น้อย เกิดความไม่สมดุลของพลังงานที่เข้าสู่ร่างกายและพลังงานที่ใช้ไป ก็จะมีผลต่อภาวะอ้วนเป็นอย่างมาก

            ๔) สาเหตุของความอ้วนที่เกิดจากสังคม ที่ดำเนินไปตามกระแสวัฒนธรรมการบริโภคแบบตะวันตกและจากกลุ่มบุคคลผู้แสวงหาความมั่งคั่งของตน เป็นแรงยั่วยุให้มีการบริโภคมากเกินได้เช่นกัน

                 การกินอาหารบุฟเฟต์  เป็นรูปแบบของการบริโภคอาหารที่สุ่มเสี่ยงต่อภาวะโรคอ้วนเป็นอย่างมากในปัจจุบัน แม้ว่าเราจะไม่สามารถปฏิเสธการได้รับความเพลิดเพลินจากการกินอาหารบุฟเฟต์แสนอร่อยต่างๆที่หลายหลาย หากแต่คนส่วนใหญ่เมื่อกินอาหารบุฟเฟต์ มักต้องประมวลราคาอาหารและปริมาณในการกินว่าต้องคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป จึงเป็นการกินอาหารบุฟเฟต์ที่เต็มไปด้วยความมีกิเลส ก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาทดแทน จากอาการแน่นท้อง หน้าอก หรือการอิ่มจนพะอืดพะอมจากการบริโภคเกินความต้องการของร่างกาย และก่อให้เกิดเป็นโรคอ้วนในที่สุด
              
               แนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาโรคอ้วนอย่างยั่งยืน นั่นคือ การรู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร ใน.คณกโมคคัลลานสูตร ( .. ๒๒/๘๖/๑๓๘-๑๓๙.) พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัรราสก์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าภิกษุมาเถิด เธอจงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ คือ พึงบริโภคอาหาร พิจารณาโดยแยบคายว่า เราบริโภคมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะมัวเมา มิใช่เพื่อจะประดับ มิใช่เพื่อจะตบแต่งร่างกายเลย แต่เราบริโภคเพียงเพื่อร่างกายดำรงอยู่ เพื่อให้ชีวิตเป็นไปเพื่อบรรเทาความลำบาก เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์เท่านั้น  ด้วยอุบายนี้ เราจะป้องกันเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นและความเป็นไปแห่งชีวิต ความไม่มีโทษ ความอยู่สบาย จักมีแก่เรา

           ในเสขปฏิปทาสูตร ( .. 0/๒๙/๔๔.)    ผู้รู้ประมาณในการบริโภค พิจารณาโดยแยบคายแล้วกลืนกินอาหาร ไม่ใช่เพื่อจะเล่น เพื่อจะมัวเมา เพื่อความผ่องใส เพื่อความงดงาม เพียงเพื่อความดำรงอยุ่แห่งกายนี้ เพื่อให้กายนี้เป็นไปได้ เพื่อบำบัดความอยากอาหาร เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ ด้วยคิดว่าจักกำจัดเวทนาเก่าเสียด้วย จักไม่เวทนาใหม่เกิดขึ้นด้วยความเป็นไปแห่งอริยาบถ ความเป็นผู้ไม่มีโทษและความอยู่เป็นผาสุก มีแก่เราว่าเป็นผู้รู้ประมาณในการบริโภค

           ด้วยหลักการบริโภคอาหารตามแนวทางพระพุทธศาสนาดังกล่าวนี้ เมื่อศึกษาและปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว นำไปสู่การไม่เป็นผู้บริโภคอาหารด้วยกิเลสและตัณหา  หากแต่เป็นการบริโภคที่ใช้สติปัญญา  ความพอดีในการบริโภคอาหารย่อมเกิดขึ้น  การรับประทานอาหารจึงมีความสมดุล พอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย และเป็นการบริโภคตามแนวทางสายกลาง ที่ช่วยแก้ปัญหาโรคอ้วนได้อย่างยั่งยืนแท้จริง